ประโยชน์:
- เป็นธาตุอาหารเสริมที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช อยู่ในรูปน้ำใส
- มีความปลอดภัยต่อพืช ละลายน้ำได้ดีเยี่ยม มีประสิทธิภาพการเกาะติดใบได้ดี
- ดูดซึมเข้าสู่พืชได้อย่างรวดเร็ว และต่อเนื่องสม่ำเสมอ
- ช่วยให้การผลิตาสมบูรณ์ เกสรแข็งแรง และเพิ่มความหวาน
- ป้องกันอาการไส้กลวงในพืชตระกูลกะหล่ำ
วิธีใช้:
ส้ม มะนาว ส้มโอ : อัตรา 5 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร
- พ่นระยะแตกใบอ่อน 1-2 ครั้ง และพ่นระยะติดผลอ่อน อีก 1-2 ครั้ง
ไม้ผล เช่น เงาะ มังคุด ลองกอง มะม่วง ลิ้นจี่ ลำไย ชมพู่ สละ ฯลฯ : อัตรา 5-10 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร
- ฟในช่วงออกดอกพ่น 2 ครั้ง คือระยะแตกตาดอก และระยะก่อนดอกบาน ห่างกัน 7-10 วัน และพ่นอีก 1 ครั้งในระยะติดผล
- ในระยะก่อนเก็บเกี่ยวพ่น 1-2 ครั้งห่างกัน 7-10 วัน เพื่อช่วยเร่งการสุกแก่ของผล
ทุเรียน : อัตรา 5-10 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร
- ระยะไข่ปลาตาปู 1-2 ครั้ง และระยะก่อนดอกบานพ่น 1-2 ครั้ง
พืชตระกูลกะหล่ำ : อัตรา 10 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร
- ในระยะเจริญเติบโต พ่นทุก 7-10 วัน เพื่อเร่งการเจริญเติบโตและลดปัญหาไส้กลวง
พืชผักต่างๆ พืชตระกูลแตง และ ไม้ดอกไม้ประดับ : อัตรา 5-10 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร
- ระยะเจริญเติบโต พ่นทุก 7-10 วัน เพื่อเร่งการเจริญเติบโต
สับปะรด : อัตรา 5-10 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร
- ระยะบังคับดอก เพื่อเพิ่มจำนวนตาดอก
- ระยะหลังดอกแห้ง เพื่อป้องกันตาดอกแตก
คำแนะนำ: ควรอ่านคำแนะนำเอกสารกำกับปุ๋ยเคมีให้เข้าใจเสียก่อน หากไม่เข้าใจ หรือ มีปัญหาสงสัยให้ปรึกษาเจ้าหน้าที่กรมวิชาการเกษตรและกรมส่งเสริมเกษตรในท้องถิ่น เพื่อให้การใช้ปุ๋ยมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และไม่ควรใช้เกินอัตราที่กำหนดเพราะจะเป็นอันตรายกับพืชได้
ข้อควรระวัง:
- ก่อนใส่ปุ๋ยเคมี ควรกำจัดวัชพืชให้หมดเสียก่อน เพื่อป้องกันมิให้วัชพืชมาใช้ปุ๋ยเคมีที่ใส่ลงไป
- ควรใส่ปุ๋ยเคมีเมื่อดินมีความชื้นอยู่ เมื่อใส่ปุ๋ยเคมีควรกลบดิน ในกรณีที่มีการให้น้ำควรให้น้ำน้อยๆ ก่อน แล้วจึงเพิ่มให้มากขึ้น ถ้าให้ได้ผลดียิ่งขึ้น ควรใส่ปุ๋ยเคมีแก่พืชในช่วงที่มีแสงแดดจัด ฝนไม่ตก
- ควรหมั่นดูแลป้องกันกำจัดโรคแมลงศัตรูพืชอยู่เสมอ
- ควรเก็บปุ๋ยเคมีในภาชนะที่ปิดมิดชิด อย่าให้ถูกความร้อน แสงแดด และฝน